• Exp
  • WDR
  • Pro Slide Nvr4104
  • 192.168.1.88 Ch7 20161005190438 20161005190602
  • แจ้งเตือนหากวัตถุผ่านกรอบที่กำหนด

    ความรู้ทั่วไปของกล้อง CCTV

    การออกแบบระบบกล้องวงจรปิด และสิ่งที่ต้องทราบ...

     

    เวลาที่ผมออกแบบระบบกล้องวงจรปิด ผมจะต้องทราบรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ

    1. สถานที่ติดตั้ง เพื่อจะได้ทราบคร่าวๆว่าลักษณะหน้างานมีลักษณะพิเศษอย่างไร
    เช่นติดที่ชลบุรี โรงงานอยู่ใกล้ทะเล จะมีไอเกลือที่เป็นตัวเร่งการเสื่อมของอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ ติดที่สวนแม่ฟ้าหลวงเชียงราย จะมีไอน้ำต้องติดฮีตเตอร์เพื่อลดฝ้าหน้าเลนส์

     


    2. ลักษณะและจุดประสงค์ในการใช้งาน เช่นติดสังเกตุการณ์, ติดเพื่อยืนยันบุคคล, ติดเพื่อตรวจนับจำนวนวัตถุที่ผ่านกล้อง บ่งบอกถึงคุณภาพขออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ว่าต้องใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงเพียงใด เพราะเราไม่ควรเสียเงินมากกว่าที่เราจะเป็นต้องใช้ หรือ จ่ายเงินซื้อของที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอกับที่เราต้องการ สุดท้าย เราจ่ายเงินไปกับภาพที่ใช้ไม่ได้ .... ภาพที่ได้ มองไม่ออกว่าเป็นใคร

     

    3. จำนวนจุดของกล้องที่ลูกค้าต้องการให้ติดตั้งจำนวน จุดของกล้องจะบอกถึงความต้องการขั้นต่ำของ DVR ว่าต้องใช้กี่ช่องสัญญาณ ใช้ DVR กี่ตัว หากติดจำนวนเยอะ การออกแบบเป็นระบบ IP Camera ก็จะทำให้ประหยัดต้นทุนเมื่อเทียบกับต้องใช้ DVR จำนวนมาก..แต่ละจุดห่างกันขนาดไหน เกินกว่าระยะที่สายจะส่งสัญญาณได้หรือไม่ ต้องเดินเป็น Fiber Optic หรือไม่

    4. ลักษณะหน้างานในแต่ละจุด บอกถึงอุปกรณ์พิเศษและการติดตั้งพิเศษที่แปลกประหลาด เพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ และการถนอมอุปกรณ์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และปลอดภัย....ติดตั้งกลางวันหรือกลางคืน สภาพแสงโดยรอบเป็นอย่างไร

     


     - ติดภายนอกหรือภายใน -กล้องแบบโดม
     - แบบกล้องตากแดด ความร้อนสูง-ต้องใช้ housing ที่มีพัดลมระบายความร้อน
     - ตากฝน ความชื้นสูง-ต้องใช้ housing กันน้ำ
     - อากาศเย็น-ต้องใช้ Housing ที่มี heater เพื่อลดฝ้าหน้าเลส์
     - ใกล้วัตถุไวไฟ-ต้องใช้กล้องที่มีคุณภาพสูงซึ่งออกแบบไม่ให้เกิดประกายไฟ
     - ภายย้อนแสง กล้อง-ต้องเป็นกล้องแบบย้อนแสง เพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนมืด
     - ติดใต้สะพาน บนยอดเสา-ต้องเป็นกล้องกันสั่น เพราะมีรถวิ่งทำให้สั่นสะเทือนตลอดเวลา
     - ติดกล้องบริเวณตู้ ATM -ต้องเป็นกล้องที่มีความอึด ป้องกันการทุบตี (มันจะไม่แตก เพราะเหนียวมาก)
     - จุดที่ยึดกล้องกับวัตถุที่ต้องการห่างไกลกัน-ต้องใช้เลนส์ซูม เพื่อซูมภาพจากระยะไกล โอ๊ย..เยอะแยะมากมายครับ โทรมาคุยกับผมดีกว่าครับ

    5. งบประมาณของลูกค้า ของแบบนี้ผมต้องบอกว่าคุณภาพตามราคาล่ะครับ ของจีนก็คุณภาพแบบปีเดียวพัง ภาพที่ได้ก็ติดพอสังเกตุการณ์ได้แต่ภาพไม่ชัดถึงขนาดใช้เป็นหลักฐานได้ ของไต้หวันก็แพงขึ้นมาหน่อยแต่ภาพเวลาที่ซูมเข้าไปอาจไม่ชัดนัก สินค้าจากเกาหลีญี่ปุ่น ก็สินค้าคุ้มราคาเชื่อถือได้ในราคาสมเหตุสมผล (แต่แอบแพง) สินค้าจากยุโรปก็คุณภาพสุดโต่ง แต่ก็ต้องจ่ายมากเช่นกัน

    6. ผู้ควบคุมและใช้ ระบบวงจรปิด บอกถึงการออกแบบระบบครับ ว่าควรจะใช้ระบบใด ผู้ใช้มีทักษะมากน้อยเพียงใด เช่นถ้าติดให้อาม่าดู แล้วติดกล้องวงจรปิดแบบผ่านเครือข่าย (IP Camera) ก็คงจะไม่เหมาะ เราต้องคิดว่าอาม่าจะใช้คอมได้มั้ย? ถ้าระบบมันล่มอาม่าจะทำยังไง? ติดระบบแบบ Stand Alone ให้อาม่าจะดีกว่าหรือเปล่า? ถือ remote อยู่หน้า monitor ดีกว่าไหม?


        งาน แบบนี้เป็นงานออกแบบให้เหมาะกับพื้นที่แต่ละแบบซึ่งต้องคิดละใช้ประสบการณ์ มาก ไม่ใช่งานซื้อมาแล้วแกะกล่องเสียบปลั๊กก็ใช้งานได้แบบทีวีครับ     เวลาทำอะไรผมคิดว่าถ้าเราเป็นลูกค้า แล้วเราอยากได้อะไร เราจะแนะนำอย่างนั้นให้ลูกค้าครับเพราะเราก็อยากได้สินค้าที่เหมาะกับจุด ประสงค์ของเราและคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่าย  ไม่ต้องดีเกินไป หรือถูกจนห่วยเกินไป เราจะไม่แนะนำอุปกรณ์ดีที่สุดถ้าคุณไม่ได้ใช้ เราจะไม่เอาสินค้าราคาถูกเพื่อให้คุณเห็นว่าเราขายถูก แต่แล้วเมื่อเกิดปัญหาก็เอาใช้งานไม่ได้ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ลูกค้าต้องได้สิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดครับ

    การบันทึกภาพให้ยาวนานกว่าเดิม : ทำอย่างไร?...

     หน้าที่ สำคัญประการหนึ่งของกล้องวงจรปิดคือ การบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังเอาไว้ เพื่อสามารถเปิดดูได้กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น และภาพดังกล่าวจะได้ใช้เป็นหลักฐานได้ ซึ่งการที่จะเก็บบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังได้นานมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้น อยู่กับควมจุของฮาร์ดดิสก์นั่นเอง

    ผม ไม่กล่าวรวมถึงการสำรองข้อมูลออกมาแล้วนะครับ ซึ่งตามบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ จะมีการทำสำรองข้อมูลออกมาเป็นระยะๆ เก็บไว้ในสื่อดิจิตอลต่างๆ เช่น ไรท์ออกมาเก็บในแผ่น CD หรือ DVD หรือ Handy drive เป็นต้น เพราะในกรณีนี้ทุกท่านสามารถสำรองข้อมูลเอาไว้ได้นานเท่าที่ต้องการครับ

     

    แต่ที่จะเน้นต่อไปนี้คือเรื่องของการสำรองข้อมูลที่ยังอยู่ในระบบ เพราะเครื่องบันทึกภาพบางรุ่นที่เป็น Standalone นั้นไม่มีเครื่องไรท์แผ่น CD หรือ DVD และไม่มี USB port ในตัว การจะเอาข้อมูลออกมาได้ก็ต้องนำเครื่องไปต่อสาย LAN แล้ว ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้วก็ลงโปรแกรมเพื่อดึงภาพออกมาไรท์ใส่แผ่นอีกที กระบวนการเหล่านี้อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ช่ำชองด้านเทคนิค แต่อาจเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่โตสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้าน คอมพิวเตอร์เลย

    มีบางกรณีครับที่ผู้ใช้ตั้งค่าระบบเอาไว้ให้ Rewrite หรือ อัดทับของเดิมได้ทันทีเมื่อฮาร์ดดิสก์เต็ม และหลายครั้งที่เมื่อต้องการดูภาพย้อนหลังแต่กลับพบว่าถูกอัดทับไปแล้ว เพราะฮาร์ดดิสก์เต็ม เนื่องจากพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไม่มากพอ บางท่านไม่เข้าใจก็จะโกรธเคืองกล้องวงจรปิดเอา หาว่าซื้อมาแล้วไม่มีประโยชน์ไปซะงั้นโดยลืมนึกไปว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็น เครื่องมือเท่านั้น แต่เราต่างหากที่จะนำเครื่องมือนี้มาใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด


    การทำให้ระบบสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้นานขึ้นมีอยู่ด้วยกัน หลายวิธีดังนี้ครับ

    1. เพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกติดตั้งระบบ ก็อาจจะยังพอมีเวลาทันที่จะพิจารณาเพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ เช่น จากเดิมที่มากับเซ็ตที่ขายเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 250GB ก็ขอเพิ่มเป็น 320GB หรือ 500GB หรือเบิ้ลเป็น 500GB 2 ลูก จะได้เป็น 1000GB หรือ 1Terabyte ไป เลย หรือในรายที่ติดตั้งระบบไปแล้วก็สามารถเพิ่มฮาร์ดดิสก์ด้วยตัวเองได้ แต่อาจต้องอาศัยความรู้ทางช่างเล็กน้อยก็ทำได้แล้วครับ


    2. เปลี่ยน VDO compression format หรือรูปแบบการบันทึก โดยปกติเครื่องบันทึกภาพจะมีฟังก์ชั่นให้เลือกได้ว่าคุณต้องการบันทึกในแบบ ใด เช่น บันทึกเป็นแบบ frame หรือบันทึกแบบ CIF, D1 แน่นอนว่ายิ่งเราเลือกภาพที่มีความละเอียดมากขึ้น พื้นที่ที่ใช้ในการบันทึกก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย

    3. ลดความเร็วการบันทึก ใน กรณีปกติการบันทึกแบบ frame ในระบบ PAL จะต้องบันทึกด้วยอัตราเร็ว (frame rate) 25 เฟรมต่อวินาที จึงจะเห็นภาพเคลื่อนไหวราบรื่นเป็นปกติ แต่เราสามารถลดความเร็วการบันทึกเฟรมลงได้ตามสเต็ปที่ระบบกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ลดกันไปทีละครึ่ง เช่น จาก 25 ไปเป็น 12.5, 6.25 และ 3.12 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ เช่นเดียวกันในการบันทึกแบบ CIF ที่สามารถลดความเร็วลงได้ เริ่มต้น จาก 100 เป็น 50, 25, 12.5 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ (อ้างจากเครื่องบันทึกภาพแบบ 4 channels ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็จะมีความสามารถแต่ต่างกันออกไปครับ)

    อย่าง ไรก็ตามการลดความเร็วการบันทึกนี้จะทำให้ไฟล์ภาพเหตุการณ์ลดขนาดลง แต่ผลที่ตามมาก็คือ ภาพย้อนหลังจะเป็นภาพกระตุกๆ ยิ่งลดลงมากยิ่งกระตุกมาก เพราะใน 1 วินาที ระบบได้บันทึกภาพจำนวนเฟรมน้อยลงนั่นเอง

    4. การลดคุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่บันทึก หรือ Image Quality ซึ่งจะมีให้เลือกเป็น best, high, normal, basic เราสามารถตั้งค่าคุณภาพตรงนี้ได้ ยิ่งลดมาก ก็ยิ่งช่วยลดขนาดไฟล์ภาพเหตุการณ์ลง แต่ก็จะได้ภาพเหตุการณ์ที่คุณภาพด้อยลงด้วย (ตรง นี้ไม่แนะนำครับ เพราะว่าเวลาที่เกิดปัญหาขึ้น ภาพเหตุการณ์ที่สำคัญอาจเป็นเพียงจุดเล็กๆในภาพ เมื่อเราซูมเข้าไปดู เราก็อาจไม่เห็นรายละเอียดที่ต้องการเช่นหน้าตา สุดสุดท้ายเราอาจได้แค่ภาพเงาตะคุ่มๆของใครก็ไม่รู้ครับ)

    5. ตั้งค่า Motion Detection เครื่อง บันทึกภาพรุ่นใหม่ๆ เดี๋ยวนี้มีฟังก์ชั่นนี้กันแทบทุกยี่ห้อแล้วครับ อันที่จริงนับว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ที่มี อยู่สามารถบันทึกได้นานขึ้นครับ เพราะวิธีอื่นที่กล่าวมาข้างบนนั้น (ยกเว้นวิธีแรกคือการเพิ่มฮาร์ดดิสก์ครับ) ล้วนแต่ทำให้คุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่ได้ด้อยลงทั้งนั้น แต่ก็เป็นหนทางที่ช่วยให้ใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นจริงๆ

    Motion Detection เป็น การตั้งค่าให้เครื่องบันทึกภาพทำการบันทึกเมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านหน้า กล้องในบริเวณที่เรากำหนด หากไม่มีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้นเลยระบบก็จะไม่บันทึก ซึ่งในการตั้งค่านี้สามารถเลือกเอาส่วนพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ออกไปได้ เช่น บริเวณที่จับภาพใบไม้ที่เคลื่อนไหวเพราะลมพัดตลอดเวลา ทำให้ระบบไม่มองการเคลื่อนไหวในส่วนนั้น และไม่ทำการบันทึกแม้จะมีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหว ยิ่งอ่อนไหวมากระบบก็จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวมาก กล่าวคือ หากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยระบบก็จะทำการบันทึกทันที ดังนั้นจะเห็นว่าวิธีนี้จะใช้ไม่ค่อยได้ผลนักกับสถานที่ติดตั้งกล้องที่มี การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาครับ

    ที่ แนะนำมาทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นครับ โดยใช้คุณสมบัติในการทำงานของเครื่องบันทึกภาพเข้ามาช่วย แต่เราก็ควรเลือกให้เหมาะสมครับเพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ได้ภาพเหตุการณ์ ย้อนหลังที่ไม่ชัดเจน ซึ่งก็จะไม่มีประโยชน์จริงมั๊ยครับ

    เลนส์ : เลือกอย่างไร?..

     

    เลนส์ มีหน้าที่ในการรวมแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ ให้ไปตกกระทบบนเซ็นเซอร์รับภาพ ในบางยี้ห้อบางโมเดลเมื่อซื้อกล้อง จะไม่รวมเลนส์นะครับ (ไม่รวมสินค้าจากจีนนะครับ) เพราะลูกค้าแต่ละคนแต่ละงานต้องใช้อุปการณ์ที่ไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว เลนส์มาตรฐานจะมีความยาวโฟกัสอยู่ที่ 4-12 มม.ครับ

    แล้วการเลือกเลนส์ควรต้องเลือกเลนส์ให้เหมาะสมกับอะไรล่ะ ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาทำความรู้จักกับเลนส์กันก่อนดีกว่าครับ

    ทางยาวโฟกัส

    ก่อนอื่นเรามารู้จักคำว่าทางยาวโฟกัส (Focal length) กัน ก่อนครับ ถ้าเอาตามหลักวิชาการเป๊ะ ก็หมายความถึง ระยะจากเลนส์ถึงจุดที่แสงหักเหมาตัดกัน เมื่อแสงเดินทางมาจากวัตถุ หรือระยะจากจุดกึ่งกลางเลนส์ถึงจอรับภาพ (ในกรณีนี้คือตัว CCD หรือ CMOS) ที่ปรากฏภาพชัดที่สุดเมื่อเลนส์จับภาพวัตถุในระยะอนันต์ (ระยะที่ไกลที่สุด)

    จาก รูปเราจะเห็นหลักการทำงานของแสงผ่านเลนส์ไปยังวัสดุรับภาพ (CCD ในกล้อง) โดยความยาวโฟกัส(ระยะ f ในรูป) ก็คือระยะห่างระหว่างตัวเลนส์กับวัสดุรับภาพของกล้องนั่นเอง โดยถ้าเราพิจารณาจากภาพก็จะเห็นได้ว่า ยิ่งค่า f มากขึ้นเท่าไหร่ (ยิ่งเลนส์ห่างจาก CCD เท่าไหร่) มุมของภาพก็จะนิ่งแคบลงเท่านั้น


    เลนส์ ถ่ายภาพใดก็ตามที่มีความยาวโฟกัสของเลนส์ ยิ่งยาวยิ่งทำให้มุมของการถ่ายภาพแคบ และ ช่วยย่นระยะของทางที่มองเห็นให้ใกล้เข้ามา เลนส์ดังกล่าว ซึ่งได้แก่เลนส์ถ่ายไกล(Telephoto Lens) เป็นต้น นอกจากนี้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสแตกต่างกัน นอกจากสร้างผลทางภาพให้มีขนาดต่างกันแล้ว ยังสร้างผลของช่วงความชัดให้มีความแตกต่างกันอีกด้วย โดยความยาวโฟกัสยิ่งยาวมาก ช่วงความชัดยิ่งสั้นลง ตรงกันข้าม ถ้าความยาวโฟกัสยิ่งสั้นมาเท่าใด ช่วงความชัดของภาพจะมีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสรุปได้ว่าความยาวของโฟกัสของเลนส์มีผลต่อการถ่ายภาพ 2 อย่างคือ

    1. ทำให้มุมของภาพ กว้างหรือแคบได้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ
    2. ทำให้ช่วงความชัดมีมากหรือน้อยลงได้

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 สิ่งที่กล่าวมาในข้างต้นนี้เราเปรียบเทียบที่การใช้กล้องที่มีขนาดของ CCD sensor size เท่ากัน เพราะในกล้องที่มี CCD sensor size กว้างขึ้นขณะที่ใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสเท่ากัน จะให้ภาพที่มีองศาการมองเห็นกว้างขึ้น ลองดูเปรียบเทียบจากตารางด้านล่างนี้ครับ

    Approximate Horizontal angles of view for CCD Chip Cameras


    ทางยาวโฟกัสกับความกว้างของมุมรับภาพ (องศา)

      
    Approximate Horizontal angles of view for CCD Chip Cameras 
    ทางยาวโฟกัส 2/3" 1/2" 1/3" 1/4"
    2.0 mm - - - 82
    2.8 mm - - 86 57
    4.0 mm - 77 67 47
    4.8 mm 83 67 57 40
    6.0 mm 70 56 48 34
    8.0 mm 56 44 36 25
    12.0 mm 39 30 25 17
    16.0 mm 30 23 17 13
    25.0mm 18 15 12 8
    50.0 mm 10 7 6 4


    ที่มา :
    www.ezcctv.com

    อย่างไรก็ตามเราจะกลับมากล่าวกันอย่างลงลึกถึงเรื่องของ CCD อีกทีในเรื่องถัดไปครับ จะเห็นได้ว่าจะมีเรื่องของขนาดของ CCD sensor เข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งเลนส์บางชนิดระบุว่าผลิตมาสำหรับ CCD sensor ขนาดใด หากเรานำไปใช้กับ CCD sensor อีกขนาดอาจทำให้ได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์ เช่น หากนำเลนส์ที่ผลิตมาสำหรับเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก (สมมติว่าเป็น 1/4?) ไปใช้กับกล้องที่มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่กว่า (สมมติว่าเป็น 1/3?) จะ ได้ภาพเห็นเป็นสีดำอยู่บริเวณมุมทั้งสี่ ในทางกลับกันถ้านำเลนส์ที่ผลิตสำหรับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่มาใช้กับกล้องที่มี เซ็นเซอร์ขนาดเล็ก จะทำให้ได้องศาการมองเห็นภาพต่ำกว่าค่าที่ควรจะเป็นของเลนส์ตัวนั้น ซึ่งจะทำให้สูญเสียภาพที่ควรมองเห็นไป ถ้าใครอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจลองพิจารณาภาพด้านล่างประกอบดูนะครับ


    ม่านรับแสง (iris)

     


    คือม่านที่เปิด-ปิดเพื่อกำหนดขนาดรูรับแสง ซึ่งขนาดรูรับแสงเป็นตัวกำหนดปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามา ม่านรับแสงของเลนส์มีสองแบบคือ

    1. ม่านรับแสงแบบปรับด้วยมือ (Manual iris) สามารถ ปรับขนาดรูรับแสงโดยใช้มือหมุนปรับวงแหวนที่ตัวเลนส์ ซึ่งในความเป็นจริงเราจะตั้งค่าเอาไว้เลยก่อนติดตั้งเสร็จ เพราะหลังติดตั้งเสร็จแล้วคงยากที่ลูกค้าจะต้องปีนขึ้นไปที่กล้องเพื่อปรับ ค่าเอง

     



    2. ม่านรับแสงแบบปรับอัตโนมัติ (Auto iris) การ ปรับขนาดรูรับแสงทำงานร่วมกับตัวกล้องโดยอัตโนมัติ เลนส์ที่ใช้ม่านรับแสงแบบนี้จำเป็นต้องมีสัญญาณไฟเลี้ยงให้วงจรของม่านรับ แสงทำงาน

     


    ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
    - แบบไฟตรง (DC controlled iris) เลนส์ auto iris ที่ ใช้สัญญาณไฟตรงจากตัวกล้อง ไม่ต้องมีวงจรขยาย การเปลี่ยนแปลงขนาดของม่านรับแสง ทำงานไปตามการเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้า ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของแสงจากการทำงานของกล้อง เลนส์ชนิดนี้ส่วนมากจะมีสายพร้อมปลั๊ก 4 ขา (Pin) เพื่อต่อกับกล้อง ปลั๊ก ๔ ขานี้ในอดีตเรียกว่า 4 Pin plug Panasonic standard ซึ่งโรงงานที่ผลิตกล้องเกือบทุกโรงงานจะใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน คือสามารถนำเลนส์ชนิด DC Type ไปใช้ได้กับกล้องได้ เกือบทุกผู้ผลิต

    - แบบสัญญาณวิดีโอ (VDO controlled iris) กล้อง จะจ่ายไฟฟ้าไปให้เลนส์ในลักษณะของสัญญาณภาพ โดยจะมีความเข้มของสัญญาณภาพ แตกต่างกันไป เลนส์ที่ใช้กับกล้องที่จ่ายไฟฟ้าแบบนี้จะต้องมีวงจรขยาย (Amplifier) เพื่อเปลี่ยนความเข้มของสัญญาณภาพ เป็นไฟฟ้าเพื่อให้อุปกรณ์ตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า กัลวานอมิเตอร์ (Galvanometer) ทำ หน้าที่คล้ายๆ กับมอเตอร์ ทำงาน เพื่อให้ม่านรับแสงเปลี่ยนขนาด ใหญ่ - เล็ก ตามการเปลี่ยนแปลงของแสงในรูปของความเข้มของสัญญาณภาพ เลนส์ชนิดนี้โดยมากจะมีสายสำหรับต่อกับกล้องโดยจะปล่อยปลายสายไว้ (ไม่มีปลั๊ก 4ขา )

    ทั้งนี้การจะเลือกใช้เลนส์ Auto iris แบบ ใด จะต้องทราบว่าใช้งานกับกล้องที่จ่ายไฟฟ้าให้กับเลนส์แบบใด โดยศึกษาจากคู่มือของกล้อง เพราะว่าถ้าใช้เลนส์ผิดประเภทกับการจ่ายไฟของกล้อง เลนส์จะไม่ทำงาน หรืออาจจะเสียหายได้ เพราะว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้า (Voltage) ที่กล้องจ่ายให้กับเลนส์ทั้งสองแบบ มีความแตกต่างกันมาก และถ้าใช้เลนส์ผิดชนิดก็จะไม่มีภาพ เพราะว่าเลนส์ไม่เปิดรับแสง

    สำหรับเลนส์แบบ Auto iris นี้ แนะนำว่าควรใช้กับกล้องที่ติดตั้งภายนอกอาคารครับ เพราะ auto iris จะ ปรับให้รับแสงในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตัวกล้องเพื่อให้ได้ภาพที่ออกมาดี ที่สุด แน่นอนว่าเป็นการช่วยป้องกันตัวเซ็นเซอร์จากปริมาณแสงที่มากเกินไปอีกด้วย ครับ

    การเลือกใช้ขนาดของรูรับแสงจะเป็นตัวกำหนดปริมาณแสง ซึ่งจะมีผลต่อระยะชัดลึกของภาพ (Depth of field) ด้วย เช่นกัน โดยขนาดของรูรับแสงที่เล็กกว่า รับปริมาณแสงได้น้อยกว่า จะมีระยะชัดลึกของภาพมากกว่า ขนาดของรูรับแสงใหญ่ นอกจากนี้ขนาดรูรับแสงยังเกี่ยวข้องเป็นญาติใกล้ชิดกับ f-stop อีกด้วย ทีนี้เรามารู้จักกับ f-stop กันซักนิดครับ


    F-stop

    f-stop คือ สัดส่วนระหว่างความยาวโฟกัสและเส้นผ่านศูนย์กลางของรูรับแสง หรือ

    F-number = Focal length / Iris diameter

    ตามสูตรแล้ว ค่า F-stop จะแปลผกผันกับค่าของขนาดรูรับแสง หมายความว่า ค่า f-stop ยิ่ง มาก ขนาดรูรับแสงจะยิ่งน้อย เซ็นเซอร์ก็รับแสงได้น้อยลง ภาพที่ได้ก็จะมีความชัดลึกมาก เหมาะที่จะใช้กับพื้นที่ที่มีปริมาณแสงเพียงพอ ตรงกันข้าม f-stop ยิ่ง น้อย ขนาดรูรับแสงจะยิ่งมาก เซ็นเซอร์ก็รับแสงได้มากขึ้น ภาพที่ได้ก็จะมีความชัดลึกน้อย แต่จะให้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีในพื้นที่ที่มีปริมาณแสงน้อย

    ตารางด้านล่างนี้แสดงถึงค่าเปอฺร์เซ็นต์ของแสงที่ผ่านเข้าไปถึงเซ็นเซอร์ในค่าของ F-stop ต่างๆ

     


    F-number f1.0 f1.2 f1.4 f1.7 f2.8 f4.0 f5.6
    แสงส่องผ่าน (%) 20 14.14 10 7.07 2.5 1.25 0.625


      

    เลนส์ของกล้อง CCTV ก็มีให้เลือกหลายแบบครับ

    1. เลนส์ทางยาวโฟกัสเดี่ยว, เลนส์ที่ซูมไม่ได้ (fix focal length) เลนส์ แบบนี้ส่วนใหญ่เป็นเลนส์มาตรฐานที่มักจะคิดราคารวมมาอยู่แล้วกับตัว กล้องครับ โดยเลนส์ขนาดมาตรฐานนี้ราคาจะเท่ากันหรืออาจต่างกันไม่มาก ดังนั้นเมื่อติดตั้งกล้องแล้วขณะปรับมุม ผู้ให้บริการอาจสามารถเลือกเลนส์เปลี่ยนเพื่อให้ได้ภาพตรงความต้องการของ ลูกค้าได้


    2. เลนส์ที่สามารถปรับทางยาวโฟกัสได้ เลนส์ที่สามารถซูมได้ (variable focal length) เลนส์ประเภทนี้ มีทั้งแบบที่ใช้ปรับเองด้วยมือ หรือควบคุมให้สั่งปรับได้จากระยะไกล


    ทีนี้มาเรื่องข้อต่อของ(Mount) เลนส์บ้างครับ กล้องวงจรปิดจะมีข้อต่อของเลนส์อยู่ 2 แบบ

    1. C-mount มีความยาวช่วงท้ายเลนส์ ถึงหน้าตัวรับภาพ 17.5 มม.

    2. CS-mount มีความยาวช่วงท้ายเลนส์ ถึงหน้าตัวรับภาพ 12.5 มม.

         กล้อง ที่มีข้อต่อแบบ CS-Mount ต้องใช้เลนส์ที่มีข้อต่อเป็นแบบ CS-Mount เท่านั้นขณะที่กล้องที่มีข้อต่อแบบ C-Mount สามารถใช้กับเลนส์ข้อต่อแบบ CS-Mount ได้ แต่ต้องใช้แหวนข้อต่อ (5 mm., Adapter Ring) ต่อกลางระหว่างเลนส์กับกล้อง เพราะถ้านำเลนส์ที่มีข้อต่อแบบC-Mount ไปต่อเข้ากับกล้องที่มีข้อต่อแบบ CS-Mount โดยตรง อาจจะทำให้หน้าตัวรับภาพเกิดความเสียหายได้ เพราะว่าความยาวช่วงท้ายเลนส์ของเลนส์แบบ C-Mount มีความยาวมากกว่าแบบ CS-Mount แต่ ผมจะบอกว่าก็ใส่เลนส์ของผู้ผลิตกล้องนั่นแหลครับ เรื่องทุกอย่างก็จบ ราคาก็ไม่ได้หนีกันมากมายเท่าไหร่เลย เดี๋ยวจะเข้าสำนวน เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย


    แล้วเลือกเลนส์เลือกต้องดูอะไรบ้าง

    1. เลือกเลนส์ที่กล้องรองรับ CS mount หรือ C mount

    2. กล้องทำงานแบบ Auto iris หรือไม่ หากทำได้ ควรเลือกเลนส์ที่รองรับ

    3. เลือกทางยาวโฟกัสตามขนาดที่ตรงกับวัตถุประสงค์ (wide, normal, Tele) เช่น จับภาพเฉพาะบนโต๊ะพักงานที่รับแลกเงิน, จับภาพทั้งตัวของลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้าน, จับภาพระยะทางไกล จากรถบรรทุกที่วิ่งเข้า-ออกหน้าโรงงาน, จับภาพกว้างบริเวณหน้าบ้าน เป็นต้น

    4. เลือกขนาดของเลนส์ให้สัมพันธ์กับกล้อง


    พอจะเห็นภาพบ้างแล้วใช่ไหมครับว่าเลนส์ แบบไหนเหมาะกับเรา ทั้งนี้ทั้งนั้นเอาของจริงไปลองที่หน้างาน และใช้เลนส์ที่มาจากผู้ผลิตกล้องจะแน่นอนที่สุดครับ!

    ฟังชั่นลดการสั่นไหวของภาพ Image Stabilization


    ในกรณีที่สถานที่ติดตั้งมีความสั่นไหว จะทำให้ภาพที่บันทึกได้ขาดความคมชัด


    ยกตัวอย่าง การติดตั้งใต้สะพาน รถผ่านมาที สะพานก็สั่น... หรือแม้กระทั่งเราติดที่ผนังตึก แต่บริเวณนั้นมีรถใหญ่เข้าออกบ่อย ก็ทำให้เกิดการสั่นได้

    การติดบนเสาสูงก็เช่นกัน หากเสามีความสูงมาก ก็จะทำให้เกิดความสั่นไหว เนืองมาจาก แรงสั่นสะเทือนก็ดี เนื่องมาจากแรงลมก็ดี


    ปัญหานี้แก้ไขได้ กล้องที่มี ฟังชั่น Image Stabilization จะทำให้ถาพคมชัด ดังภาพด้านล่างซ้ายมือ เป็นต้น



    เพิ่มคุณภาพของภาพที่ได้ด้วยการลดสัญญาณแทรกสอด (Noise)

    ก่อนอื่นผมต้องเล่าก่อนว่า Noise คืออะไร?

         คือ สัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในภาพ ทำให้ภาพเกิดความไม่สม่ำเสมอเนื่องมาจากเม็ดสีในภาพ (ทำให้เราเห็นเป็นจุดๆ สีไม่ราบเรียบ) มักเกิดขึ้นเมื่อถ่ายภาพในสภาพที่มีแสงน้อย ซึ่งกล้องบางยี่ห้อสามารถลดสัญญาณกวนนี้ได้


         กล้องในปัจจุบันนี้เรานิยมเป็นแบบที่ใช้ทั้งกลางวันและกลางคืนคือถ่ายภาพทั้ง 24ชั่วโมง 7วัน (Day/Night) ซึ่งสภาพแสงในตอนกลางคืนหรือตอนเย็น/เช้ามืดเป็นสภาพที่มีแสงน้อยถูกไหมครับ เมื่อแสงน้อยกล้องก็พยายามที่จะบันทึกภาพให้มีรายละเอียดให้ได้ จึงต้อง "เร่ง" สัญญาณที่ได้รับมาน้อย ให้มากขึ้นเพื่อบันทึกรายละเอียด จึงทำให้เกิดสัญญาณแทรกสอดดังกล่าว วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่ปกติครับ แต่ปัญหาอยู่ที่ สัญญาณดังกล่าวที่เพิ่มเข้ามาทำให้ภาพขาดคุณภาพ...ไม่ชัดเจน


    Continue Reading

    กล้องวงจรปิด ซีซีทีวี (CCTV) เลือกอย่างไร?..

         ประเภทของกล้องแบ่งได้หลากหลายแบบแล้วแต่ว่าเราจะแบ่งอย่างไร โดยที่ในกล้องหนึ่งตัวนั้น สามารถมีคุณสมบัติหลากหลายประการตามหัวข้อด้านล่าง
    หากท่านใดที่สนใจชนิดไหนก็โทรมาถามเราได้ครับ เพราะแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันออกไป โดยผมแบ่งแบบคร่าวตามนี้ครับ

    แบ่งตามช่วงเวลาที่ใช้งาน

    1. กล้องกลางวัน (Day)
    ใช้ในพื้นที่ทีมีสภาพแสงมาก หรือใช้ในเวลากลางวัน เช่น ใน 7-11 ที่มีแสงอยู่ตลอดเวลา ภาพที่ได้จะเป็นภาพสี... (จริงๆแล้วสมัยนี้ กล้องที่ขายอยู่ในบ้านเราเป็นกล้องที่เป็นได้ทั้งกลางวันและกลางคืนในตัวเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ กล้องที่เป็นกลางวันอย่างเดียว มีขายน้อยมากๆ เนื่องจากราคาไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แล้ว)


    Continue Reading

    ระบบกล้องวงจรปิด CCTV : เลือกอย่างไร?...

     ปัจจุบันระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ได้ รับความนิยมแพร่หลาย เนื่องมาจากสภาพสังคมเมือง และสภาพเศรษฐกิจทำให้มีผู้นำเข้าและจัด จำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ซื้อควรมีหลักในการเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ ประเด็นหลัก คือคุณภาพสินค้า, การบริการหลังการขาย และการรับประกันสินค้า เพราะสินค้านั้นอาจมีอายุการใช้งานได้แค่ 6 เดือน ถึง 2 ปี และไม่มีบริการหลังการขาย!

    หลักเกณฑ์การพิจรณาแยกตามอุปกรณ์ในระบบกล้องวงจรปิดดังนี้

    กล้องวงจรปิด CCTV (แยกคุณภาพตามประเทศผู้ผลิต)

    คุณภาพดี
    จะเป็นระบบกล้องวงจรปิดที่เจ้าของผลิตภัณฑ์จากประเทศสหรัฐอเมริกา , ประเทศยุโรป และประเทศญี่ปุ่น อาทิ

    สินค้าจากประเทศสหรัฐ อเมริกา,ยุโรป

    ยี่ห้อ BOSCH , PELCO , VICON จะนิยมใช้ในท่าอากาศยาน , อาคารสูง , สถานที่ที่ต้องการระบบที่มีความเสถียรภาพสูง เช่น โรงกรองน้ำ , โรงไฟฟ้า, โรงกลั่น ฯลฯ ราคาค่อนข้างสูง แต่คุณภาพก็สูงมากเช่นเดียกัน
     


    สินค้าจากประเทศญี่ปุ่น

    ยี่ห้อ SANYO , JVC , PANASONIC, SONY จะนิยมใช้ในอาคาร , โรงงาน , สำนักงานที่ต้องการระบบกล้องวงจรปิด CCTV ที่คุณภาพดี แต่ราคาไม่สูงมาก สินค้าจากประเทศสหรัฐ อเมริกา,ยุโรป ,ญี่ปุ่น อายุการใช้งานประมาณ 5-8 ปี

     

     

    คุณภาพปานกลาง
    กล้องวงจรปิดจากประเทศไต้หวันและเกาหลี ซึ่งราคาจะถูก , คุณภาพ, สีและความคมชัด จะดีปานกลางพอใช้งานได้ แต่ถ้านำมาสาธิตเปรียบเทียบสินค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, ญี่ปุ่น จะเห็นความแตกต่างมากในคุณภาพของภาพ เหมาะสำหรับผู้ซื้อที่มีงบประมาณจำกัด อายุการใช้งาน 3-5 ปี

     

    คุณภาพต่ำ
    เป็น ระบบกล้องวงจรปิดผลิตจากประเทศจีน ซึ่งระบบควบคุมคุณภาพไม่ดี เน้นการขายปริมาณอย่างเดียว สินค้าที่ผลิตในแต่ละงวดจะมีคุณภาพไม่เหมือนกัน(Quality Control ไม่ได้มาตรฐาน) อายุการใช้งานสั้นมากประมาณ 6 เดือน-3 ปีเท่านั้น (แล้วแต่ยี่ห้อ และ งวดการผลิต) จะเห็นโฆษณาของสินค้าประเทศจีน ในหนังสือพิมพ์, Websites ทั่วไป ในราคาที่ถูกมาก ถ้าเปรียบเทียบเงินที่ใช้ในการซื้อกับคุณภาพและอายุการใช้งานแล้ว ควรเลือกสินค้าไต้หวัน / เกาหลีจะดีกว่า


    สินค้าที่ขายตามบ้านหม้อ, คลองถมส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีน แล้วสกรีนโลโก้ของของผู้นำเข้า หากเราค้นหาใน Google แล้วไม่พบ Brand นี้ที่ต่างประเทศ ก็แน่นอนล่ะครับว่ามาจากจีน 80 เปอร์เซ็นต์...


    กล้องวงจรปิด CCTV CAMERA

    การพิจารณาคุณภาพของกล้องวงจรปิด จะพิจารณาความละเอียดของภาพ (TV LINE) และความสามารถในการรับแสง ILLUMINATION (LUX) ความละเอียดของภาพสูงจะทำให้ภาพคมชัด (ปัจจุบันมีตั้งแต่ 330, 350, 380, 420, 480, 520, 540 TV LINE) และความสามารถในการรับแสงที่ต่ำจะดีเพราะสามารถเห็นในที่มืด (สว่างน้อย) เช่น 0.5, 1, 2 LUX (ยิ่งตัวเลขต่ำยิ่งดี)
    กล้อง บางจุดอาจต้องการความสามารถพิเศษบางอย่าง เพื่อให้ได้ภาพตรงตามวัตถุประสงค์เช่น ภาพถ่ายย้อนแสง, ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย, ภาพความและเอียดสูง, ถ่ายภาพด้วยชัตเตอร์ความเร็วสูง

    อย่าง ไรก็ตามต้องพิจารณาที่ยี่ห้อเป็นหลัก เพราะสินค้าจากประเทศจีน , ไต้หวัน หรือเกาหลีบางยี่ห้อคุณลักษณะจริงของสินค้ามักไม่ตรงกันกับ Catalog


    อุปกรณ์บันทึกภาพ (DVR)

    อุปกรณ์บันทึกภาพ จะแบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ

    แบบ PC BASE
    จะใช้ VIDEO CAPTURE CARD ต่อกับ PC เมื่อบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อบันทึกใน HARDDISK พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เอาคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมาใส่การ์ดเพิ่มลงไป จำลองให้ตัวเองเป็น DVR โดยใช้โปรแกรมควบคุม

     

    จะแบ่งเป็น

    - MICROSOFT WINDOWS
      จะมีฟังก์ชั่นหลากหลาย แต่มีปัญหาด้านเสถียรภาพ

    - LINUX
      มีฟังก์ชั่นหลากหลาย เสถียรภาพดีกว่าแบบ MICROSOFT WINDOWS

     

    แบบ NON PC (Stand alone)
    จะเป็นเครื่องที่ประกอบและเขียนโปรแกรมพิเศษ (EMBED) ลงในเครื่องทำให้มีเสถียรภาพสูงใช้งานง่าย นิยมใช้ในงานธนาคาร อาคาร และโรงงาน


    คน ทั่วไปส่วนใหญ่นิยมใช้เนื่องจากว่าบริหารจัดการง่าย ดูแลง่าย ระบบไม่ไปวุ่นวายกับใคร ไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้งานได้ (ใช้เครื่องเล่น DVD ได้ก็สามารถใช้เจ้าเครื่อง Stand alone ได้)

    ระบบกล้องวงจรปิดคืออะไร? อุปกรณ์มีอะไรบ้าง?..

     

    ระบบโทรทัศน์วงจรปิดนั้น (CCTV System) เป็น การส่งสัญญาณภาพ จากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ตามจุดต่างๆ มายังส่วนรับภาพและบันทึกภาพ ซึ่งเรียกว่า DVR โดยทั่วไป DVR จะติดตั้งอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและต้องใช้งานสะดวก เช่นที่ห้องควบคุม ห้องนอน ตู้ไฟ เป็นต้น


    ระบบกล้องวงจรปิดจะประกอบไปด้วย 5 ส่วนหลัก คือ

    1.กล้อง

    เพื่อแปลงสัญญานภาพที่ได้รับให้เป็นสัญญาน ทางไฟฟ้า เพื่อส่งสัญญาณต่อไปยังอุปกรณ์บันทึก (DVR)

     

    2.เลนส์

    ทำหน้าที่รวมแสง และปรับระยะภาพให้มีขนาดใหญ่-เล็ก ตามความเหมาะสม เลนส์บางรุ่นมีความสามารถในการหรี่รูรับแสงเพื่อเพิ่มความคมชัดของภาพได้ ซึ่งเลนส์ดังกล่าวจะต้องใช้คู่กับตัวกล้องที่สามารถสั่งค่ารูรับแสงได้เท่านั้น

    3. DVR

    ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพที่ได้รับสัญญานจากกล้องลง Hard disk บางรุ่นอาจมีความสามารถที่จะควบคุมกล้องจากตัว DVR ได้เช่นสั่งให้หันซ้าย-ขวา, ก้ม-เงย, ซูม ได้

    ทำหน้าที่แบ่งสัญญานในการแสดงผล เช่น แบ่งแสดงผล 4 จอ, แสดงผลแบบสุ่ม, แสดงผลแบบจับสัญญานเคลื่อนไหว, ควบคุม Speeddome ให้หันไปหันมา, เชื่อมต่อกับ internet ทำให้เราดูกล้องผ่าน internet ได้ ฯลฯ

    4. จอภาพแสดงผล

    แสดงภาพที่ได้รับสัญญาณจากเครื่อง DVR เข่น ทีวี, จอคอมพิวเตอร์

    ภาพที่ได้เป็นแค่การแสดงผล ไม่เกี่ยวกับการบันทึก คือจะเปิดหรือปิดจอ มันบันทึก หากว่า DVR เปิดอยู่ แค่ไม่แสดงผลเท่านั้น


    5. Accressoris

    ขาตั้ง

    เพื่อยึดกล้องเข้ากับ เพดาน, กำแพง, เสา ฯลฯ


    Housing กันแดด, กันความชื้น, ระบายความร้อน

    ปกป้องกล้องและแลนส์ จากความร้อน ความชื้น จากสถานที่กลางแจ้งหรือที่มีความชื้นสูง


    สายสัญญาณ RG6, UTP

    เพื่อส่งสัญญาณจากกล้องไปยัง DVR


    Adaptor 12, 24 Volt

    แปลงค่ากระแสไฟจากไฟบ้านให้อยุ่ในช่วงที่กล้องสามารถใช้ได้ โดยให้ดูความต้องการของกล้องเป็นหลักว่ากล้องต้องการกระแสไฟแบบใด บางตัวอาจรับกระแสไฟได้ท้ัง 2 แบบ

    Keyboard Joystick

    ใน กรณีที่เป็นกล้องซูม, หรือกล้องสั่งปรับก้มเงย หันซ้ายขวาได้จากระยะไกล หากว่าเรามีกล้องหลายตัวก็ไม่สะดวกที่ต้องคอยมากดสวิทซ์ที่ DVR

    เค้าก็จะซื้อ Keyboard มาใช้กัน อารมณ์ก็ประมาณว่าเล่นเกมส์ขับเครื่องบิน บังคับได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า แต่ว่าก็ต้องจ่าแพงกว่าด้วยเช่นกัน

     

    ประโยชน์ การใช้งาน ระบบโทรทัศน์วงจรปิด

    - ในด้านการรักษาความปลอดภัย ของบุคคลและสถานที่

    - ในการตรวจสอบการทำงาน ของเครื่องจักร ในโรงงานอุตสาหะกรรมขนาดใหญ่ ที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ หรือการทำงานของพนักงาน

    - ใช้งานร่วมกับระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบจำนวนคนเพื่อการเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศ ฯ

    - ใช้งานร่วมกับระบบควบคุมการจราจร เช่น ตรวจสอบปริมาณรถยนต์ ฯ

    การปิดปังส่วนที่ไม่ต้องการให้บันทึก : Privacy Mask

    บางสถานะการณ์เรามีความจำเป็นต้องบันทึกภาพเพื่อความปลอดภัย แต่ก็มีความเสียงจากการบันทึกเช่นกัน

    เช่น การบันทึกภายในห้องนิรภัย แต่เราไม่ต้องการให้กล้องบันทึกรหัสในการเข้าประตู หรือการบันทึกภาพในห้องนอก เนื่องจากว่ามีทรัพย์สินอยุ่ แต่ไม่ต้องการให้บันทึกในส่วนที่ใช้ในการแต่งตัว


    ภาพ ด้านล่าง เราไม่ต้องการให้บันทึกภาพบริเวณหน้าต่าง ด้วยเหตุผลความเป็นส่วนตัว โดยเราสามารถที่จะปิดบังโดยสามารถขยับมุม ได้อย่างอิสระ


    ในกล้องวงจรปิดราคาถูกในบางรุ่นจะสามารถปิดบังส่วนที่ไม่ต้องการให้บันทึกได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถบังคับมุมอิสระได้ (ภาพด้านซ้าย) จึงปิดบังส่วนอื่นๆไปด้วย


    ในกล้องที่มีระดับราคาขึ้นมาระดับนึงก็จะสามารถบังคับมุมได้อิสระทำให้ สามารถปิดบังเฉพาะส่วนที่ไม่ต้องการได้เป็นอย่างดี

    HLC (Highlight Compensation Capability) ระบบปิดบังแสงสว่างจ้า

    ลูกค้าที่ซื้อกล้องวงจรปืดไปเวลาใช้กับรถ กับถนน จะพบปัญหาสุดฮิตเลยครับ....มองไม่เห็นป้ายทะเบียน


    เนื่องจากแสงที่สว่างจ้าฟุ้งกระจาย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นป้ายทะเบียนได้ วิธีการแก้ปัญหาทำได้สองวิธีดังนี้


    1. แก้ปัญหาด้วยการจัดสภาพแวดล้อม และมุมกล้อง เช่นการเพิ่มสปอร์ตไลท์ การเลือกวางมุมกล้องที่แสงไม่ส่องเข้าหากล้องถ่ายภาพแบบตรงๆ การบังคับเส้นทางเดินของรถ ฯลฯ

    แต่วิธีข้างต้นไม่สามารถทำได้ในบางสถานที่ครับ ด้วยหลากหลายปัจจัยของผู้ประกอบการเอง จึงต้องใช้อุปกรณ์พิเศษร่วมด้วย


    2.กล้อง HLC กล้องที่ปิดบังแสงที่สว่าจ้าเพื่อรักษารายละเอียดของส่วนที่เหลือ

    แบบนี้ง่ายและเร็วครับ ไม่ต้องเลือกมุมกล้องไม่ต้องจัด จากภาพด้านบน กล้องจะปิดบังส่วนที่สว่างทำให้เรายังคงมองเห็นรายละเอียดที่สำคัญ นั่นคือป้ายทะเบียน


    Continue Reading

    Housing : คืออะไร? เลือกใช้อย่างไร?..

     

    บางท่านอาจจะเคยได้ยิน Housing ว่า เป็นกล่องพลาสติกที่เอาไว้ใส่กล้องถ่ายรูป หรือกล้องวีดีโอเวลาที่เราไปดำน้ำ.. ถูกแล้วครับ มันคือความหมายเดียวกัน เพียงแต่ว่าเป็น Housing คนละแบบเท่านั้นเองครับ

     

     

    Housing คือ อุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งเพื่อปกป้องกล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านใน ไม่ว่าจะปกป้องกล้องจากสาเหตุอันใดก็ตาม เช่น ป้องกันความร้อน ป้องกันความเย็น ป้องกันไอน้ำ ป้องกันการทุบตี ป้องกันจากแรงระเบิด หรือแม้กระทั่งป้องกัน สะเก็ดไฟที่อาจเกิดขึ้นจากตัวกล้องไม่ให้เล็ดลอดออกมาด้านนอกก็ตาม โดยปกติแล้ว หากต้องการ Housing เราจะต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มต่างหาก (ไม่ได้มาพร้อมกล้อง) แต่สำหรับบางรุ่นก็มี Housing มาในตัว ซึ่งเราจำเป็นต้องเข้าใจว่า housing นั้นทำมาเพื่อปกป้องอะไร เช่น housing ที่ระบุว่ากันแดดจะไม่สามารถ กันน้ำได้หากไม่ระบุเอาไว้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เมื่อซื้อ Housing เค้าจะแถมขายึดมาให้ในตัวด้วยครับ

     

    Housing ก็มีทั้งสำหรับกล้องแบบ Box และ กล้องแบบ Dome

    ซึ่งแนะนำว่าควรจะซื้อ Housing ที่เป็นของผู้ผลิตกล้อง เพราะว่าเค้าออกแบบให้สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้องที่ housing จะไม่บังกล้อง และกระแสไฟที่รองรับหาก housing นั้นต้องใช้ไฟฟ้า ระวังนะครับ housing ของ จีนที่กันน้ำเนี่ย ระวังมันจะกันน้ำออกนะครับไม่กันน้ำเข้า เค้าผลิตไม่ได้คุณภาพเท่าไหร่ ตอนแรกๆ ก็ใช้ดีครับ แต่ผ่านไปได้ไม่กี่เดือนยางก็เริ่มเสื่อมแล้วน้ำก็จะเข้า ซึ่งก็อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ถูกกับน้ำ เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายนะครับ

     

    โดยปรกติแล้วถ้าเราติดตั้งกล้องในจุดที่อยู่ในร่ม และน้ำเข้าไม่ถึง เรียกว่าสภาพวะปกติ เช่นในสำนักงาน ภายในบ้าน เราก็ไม่ต้องซื้อ Housing มาใส่ให้เปลืองเงินครับ เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร แต่ยังไรก็ตามสุดท้ายเราก็ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เราติดตั้งเป็นหลัก ครับ

     


     

    ประเภทของ Housing

     

    1. Housing กันน้ำ คือ Housing ที่เอาไว้กันน้ำ กันฝน กันความซื้น

    2. Housing กันแดด คือ Housing ที่เอาไว้ระบายความร้อน โดยส่วนมากจะมีช่องระบายความร้อนและพัดลม เพื่อถ่ายเทอากาศภายใน Housing


     

    3. Housing ที่มี Heater คือ Housing ที่มีฮีตเตอร์เพื่อละลายฝ้าไม่ให้มาจับที่หน้าเลนส์ (เป็นฝ้าจะมองไม่เห็นภาพ)

    4. Housing ที่มี Infrared คือ Housing ที่มีแสงอินฟาเรดช่วยส่องแสงในการถ่ายภาพในที่มืด ซึ่งแสง Infrared นี้ตาปกติของคนเราจะมองไม่เห็นนะครับ

     


    5. Housing แบบ พิเศษ ประหลาดๆทั้งหลาย เช่น กันระเบิด ทุบไม่แตก อะไรทำนองนี้ผมไม่พูดถึงครับ เพราะว่าน้อยคนนักที่จะได้ใช้ หากใครสนใจก็สอบถามได้ครับ


     

    Housing ที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะมีความสามารถหลายอย่างในตัวเดียวนะครับ เช่น กันน้ำ และระบายความร้อนได้, อินฟาเรดและกันน้ำได้เป็นต้น เลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการก็พอครับไม่ต้องซื้อเผื่ออนาคตนะครับ เพราะว่าเวลาเราใช้แล้วใช้จนลืมละครับ อย่าใช้สินค้าที่ด้อยคุณภาพนะครับ เพราะสุดท้ายน้ำอาจจะเข้า เดี๋ยวจะได้ไม่คุมเสียครับ..