การบันทึกภาพให้ยาวนานกว่าเดิม : ทำอย่างไร?...
หน้าที่ สำคัญประการหนึ่งของกล้องวงจรปิดคือ การบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังเอาไว้ เพื่อสามารถเปิดดูได้กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น และภาพดังกล่าวจะได้ใช้เป็นหลักฐานได้ ซึ่งการที่จะเก็บบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังได้นานมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้น อยู่กับควมจุของฮาร์ดดิสก์นั่นเอง
ผม ไม่กล่าวรวมถึงการสำรองข้อมูลออกมาแล้วนะครับ ซึ่งตามบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ จะมีการทำสำรองข้อมูลออกมาเป็นระยะๆ เก็บไว้ในสื่อดิจิตอลต่างๆ เช่น ไรท์ออกมาเก็บในแผ่น CD หรือ DVD หรือ Handy drive เป็นต้น เพราะในกรณีนี้ทุกท่านสามารถสำรองข้อมูลเอาไว้ได้นานเท่าที่ต้องการครับ
แต่ที่จะเน้นต่อไปนี้คือเรื่องของการสำรองข้อมูลที่ยังอยู่ในระบบ เพราะเครื่องบันทึกภาพบางรุ่นที่เป็น Standalone นั้นไม่มีเครื่องไรท์แผ่น CD หรือ DVD และไม่มี USB port ในตัว การจะเอาข้อมูลออกมาได้ก็ต้องนำเครื่องไปต่อสาย LAN แล้ว ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้วก็ลงโปรแกรมเพื่อดึงภาพออกมาไรท์ใส่แผ่นอีกที กระบวนการเหล่านี้อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ช่ำชองด้านเทคนิค แต่อาจเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่โตสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้าน คอมพิวเตอร์เลย
มีบางกรณีครับที่ผู้ใช้ตั้งค่าระบบเอาไว้ให้ Rewrite หรือ อัดทับของเดิมได้ทันทีเมื่อฮาร์ดดิสก์เต็ม และหลายครั้งที่เมื่อต้องการดูภาพย้อนหลังแต่กลับพบว่าถูกอัดทับไปแล้ว เพราะฮาร์ดดิสก์เต็ม เนื่องจากพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ไม่มากพอ บางท่านไม่เข้าใจก็จะโกรธเคืองกล้องวงจรปิดเอา หาว่าซื้อมาแล้วไม่มีประโยชน์ไปซะงั้นโดยลืมนึกไปว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็น เครื่องมือเท่านั้น แต่เราต่างหากที่จะนำเครื่องมือนี้มาใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การทำให้ระบบสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้นานขึ้นมีอยู่ด้วยกัน หลายวิธีดังนี้ครับ
1. เพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกติดตั้งระบบ ก็อาจจะยังพอมีเวลาทันที่จะพิจารณาเพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ เช่น จากเดิมที่มากับเซ็ตที่ขายเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 250GB ก็ขอเพิ่มเป็น 320GB หรือ 500GB หรือเบิ้ลเป็น 500GB 2 ลูก จะได้เป็น 1000GB หรือ 1Terabyte ไป เลย หรือในรายที่ติดตั้งระบบไปแล้วก็สามารถเพิ่มฮาร์ดดิสก์ด้วยตัวเองได้ แต่อาจต้องอาศัยความรู้ทางช่างเล็กน้อยก็ทำได้แล้วครับ
2. เปลี่ยน VDO compression format หรือรูปแบบการบันทึก โดยปกติเครื่องบันทึกภาพจะมีฟังก์ชั่นให้เลือกได้ว่าคุณต้องการบันทึกในแบบ ใด เช่น บันทึกเป็นแบบ frame หรือบันทึกแบบ CIF, D1 แน่นอนว่ายิ่งเราเลือกภาพที่มีความละเอียดมากขึ้น พื้นที่ที่ใช้ในการบันทึกก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย
3. ลดความเร็วการบันทึก ใน กรณีปกติการบันทึกแบบ frame ในระบบ PAL จะต้องบันทึกด้วยอัตราเร็ว (frame rate) 25 เฟรมต่อวินาที จึงจะเห็นภาพเคลื่อนไหวราบรื่นเป็นปกติ แต่เราสามารถลดความเร็วการบันทึกเฟรมลงได้ตามสเต็ปที่ระบบกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ลดกันไปทีละครึ่ง เช่น จาก 25 ไปเป็น 12.5, 6.25 และ 3.12 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ เช่นเดียวกันในการบันทึกแบบ CIF ที่สามารถลดความเร็วลงได้ เริ่มต้น จาก 100 เป็น 50, 25, 12.5 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ (อ้างจากเครื่องบันทึกภาพแบบ 4 channels ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็จะมีความสามารถแต่ต่างกันออกไปครับ)
อย่าง ไรก็ตามการลดความเร็วการบันทึกนี้จะทำให้ไฟล์ภาพเหตุการณ์ลดขนาดลง แต่ผลที่ตามมาก็คือ ภาพย้อนหลังจะเป็นภาพกระตุกๆ ยิ่งลดลงมากยิ่งกระตุกมาก เพราะใน 1 วินาที ระบบได้บันทึกภาพจำนวนเฟรมน้อยลงนั่นเอง
4. การลดคุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่บันทึก หรือ Image Quality ซึ่งจะมีให้เลือกเป็น best, high, normal, basic เราสามารถตั้งค่าคุณภาพตรงนี้ได้ ยิ่งลดมาก ก็ยิ่งช่วยลดขนาดไฟล์ภาพเหตุการณ์ลง แต่ก็จะได้ภาพเหตุการณ์ที่คุณภาพด้อยลงด้วย (ตรง นี้ไม่แนะนำครับ เพราะว่าเวลาที่เกิดปัญหาขึ้น ภาพเหตุการณ์ที่สำคัญอาจเป็นเพียงจุดเล็กๆในภาพ เมื่อเราซูมเข้าไปดู เราก็อาจไม่เห็นรายละเอียดที่ต้องการเช่นหน้าตา สุดสุดท้ายเราอาจได้แค่ภาพเงาตะคุ่มๆของใครก็ไม่รู้ครับ)
5. ตั้งค่า Motion Detection เครื่อง บันทึกภาพรุ่นใหม่ๆ เดี๋ยวนี้มีฟังก์ชั่นนี้กันแทบทุกยี่ห้อแล้วครับ อันที่จริงนับว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ที่มี อยู่สามารถบันทึกได้นานขึ้นครับ เพราะวิธีอื่นที่กล่าวมาข้างบนนั้น (ยกเว้นวิธีแรกคือการเพิ่มฮาร์ดดิสก์ครับ) ล้วนแต่ทำให้คุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่ได้ด้อยลงทั้งนั้น แต่ก็เป็นหนทางที่ช่วยให้ใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นจริงๆ
Motion Detection เป็น การตั้งค่าให้เครื่องบันทึกภาพทำการบันทึกเมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านหน้า กล้องในบริเวณที่เรากำหนด หากไม่มีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้นเลยระบบก็จะไม่บันทึก ซึ่งในการตั้งค่านี้สามารถเลือกเอาส่วนพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ออกไปได้ เช่น บริเวณที่จับภาพใบไม้ที่เคลื่อนไหวเพราะลมพัดตลอดเวลา ทำให้ระบบไม่มองการเคลื่อนไหวในส่วนนั้น และไม่ทำการบันทึกแม้จะมีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหว ยิ่งอ่อนไหวมากระบบก็จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวมาก กล่าวคือ หากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยระบบก็จะทำการบันทึกทันที ดังนั้นจะเห็นว่าวิธีนี้จะใช้ไม่ค่อยได้ผลนักกับสถานที่ติดตั้งกล้องที่มี การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาครับ
ที่ แนะนำมาทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นครับ โดยใช้คุณสมบัติในการทำงานของเครื่องบันทึกภาพเข้ามาช่วย แต่เราก็ควรเลือกให้เหมาะสมครับเพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ได้ภาพเหตุการณ์ ย้อนหลังที่ไม่ชัดเจน ซึ่งก็จะไม่มีประโยชน์จริงมั๊ยครับ